ไวน์ เป็นเครื่องดื่มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความซับซ้อน แต่เช่นเดียวกับอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ไวน์ก็มีโอกาสที่จะเสื่อมสภาพและเสียได้เช่นกัน การดื่มไวน์ที่เสียไม่เพียงแต่ทำให้เสียอรรถรส แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย Toszy house จะพามาเรียนรู้วิธีสังเกตไวน์เสียและวิธีป้องกันไม่ให้ไวน์ของคุณกลายเป็นน้ำส้มสายชูกันดีกว่า!
สัญญาณบ่งบอกว่าไวน์เสีย
เมื่อไวน์เสีย มักจะแสดงสัญญาณเตือนที่ชัดเจนหลายประการ ได้แก่:
- สีที่ผิดเพี้ยน: ไวน์แดงที่เสียให้สังเกตว่า จากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีส้มคล้ำ ส่วนไวน์ขาวที่เสียอาจมีสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำตาลอ่อน ดูง่ายๆคือสีผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น
- กลิ่นฉุนหรือกลิ่นแปลกปลอม: ไวน์เสียมักมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวคล้ายน้ำส้มสายชู กลิ่นอับเหมือนกระดาษลัง หรือกลิ่นเหม็นคล้ายไข่เน่า
สังเกตได้เวลาดมจะเหม็น ปวดหัว คลื่นไส้ อยากอ้วกได้เลย - รสชาติผิดเพี้ยน: ไวน์เสียจะมีรสชาติเปรี้ยวจัด ฝาด หรือขมผิดปกติ บางครั้งอาจรู้สึกซ่าและมีฟองอากาศ ถ้าดื่มเข้าไปจะรู้ได้ทันที่ว่าไม่ใช่เช่นความเปรี้ยวจะเปรี้ยวแบบ น้ำส้มสายชูเพียวๆ ให้รีบวางแก้วเลย
สาเหตุที่ทำให้ไวน์เสีย
มีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้ไวน์เสีย ได้แก่:
- การเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม: ไวน์ควรเก็บในที่เย็น มืด และปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บไวน์แดงคือประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส ไวน์ขาว ควรอยู่ระหว่าง 8–12 องศาเซลเซียส
- อุณหภูมิที่สูงเกินไป: ความร้อนจะทำให้ไวน์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ไม่ควรเก็บไวน์ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่นห้องที่มีแสงแดดส่งถึง จะทำให้ไวน์ได้รับความร้อนถึงจะไม่มากก็ทำให้ไวน์เสียได้
- การเปิดขวดทิ้งไว้นานเกินไป: เมื่อเปิดขวดไวน์แล้ว อากาศจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับไวน์ ทำให้รสชาติและกลิ่นเปลี่ยนไป ควรดื่มไวน์ให้หมดภายใน 2-3 วันหลังเปิดขวด เต็มที่5-7 วัน ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของไวน์ สังเกตง่ายๆว่ารสชาติและกลิ่น ความอร่อยจะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆจนไม่เหลืออะไรไว้เลย
- จุกก๊อกที่ชำรุด: จุกก๊อกที่ชำรุดหรือแห้งเกินไปจะทำให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับไวน์ได้ง่ายขึ้น เมื่ออากาศเข้าไปก็ทำปฏิกิริยากับไวน์ เหมือนที่เราเปิดขวดไวน์แล้วดื่มไม่หมด ทำให้ไวน์เสียนั้นเอง